การเก็บเกี่ยวและการแปรรูปมะเดื่อฝรั่ง

โดยปัจจุบันพบว่าผลผลิตมะเดื่อฝรั่งทั่วโลกประมาณ 90% จะทำเป็นผลไม้อบแห้ง สำหรับเทคนิคการทำผลผลิตแบบผลไม้อบแห้งนั้น จะต้องเก็บเกี่ยวในช่วงฤดูใบไม้ร่วงโดยปล่อยให้ผลสุกเต็มที่และหล่นลงบน พื้นที่แห้งซึ่งในบางประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกาจะใช้การเก็บเกี่ยวด้วยเครื่องจัก ต่อจากนั้นจะผ่านกระบวนการทำความสะอาด การล้าง การคัดเลือก การทำให้แห้งและการบรรจุหีบห่อ ก่อนส่งจำหน่ายยังตลาด ถ้าหากมีความชื้นเกิน 27% จะต้องพ่นด้วยสารละลาย Potassium sorbate ความเข้มข้น 200-300 ppm เพื่อลดปริมาณการเกิดราสีเทาและเชื้อยีสต์


การเก็บเกี่ยวผลผลิตมะเดื่อฝรั่ง

สำหรับผลของมะเดื่อฝรั่งนั้นควรเก็บผลที่เปลี่ยนจาดสีเขียวเป็นน้ำตาล ซึ่งเนื้อข้างในจะนิ่มและหวาน ถ้าปล่อยให้สุกบนต้นจะมีปัญหาจากนกที่มากิน อย่างไรก็ดีสีผิวของผลที่สุกในแต่ละสายพันธุ์จะมีความแตกต่างกันไป เช่น Adriatic สีขาว, Kadota สีเขียว, Calimyma สีน้ำตาล และ Black Mission สีดำ เป็นต้น ผลอาจทำให้แห้งแล้งเก็บเกี่ยวและเก็บได้นานกว่า 6 เดือน



นอกจากนั้นหากได้รับประทานเป็นผลไม้สดโดยการเก็บเกี่ยวจากต้น ก็ต้องมีการคัดเลือก บรรจุลงภาชนะอย่างระมัดระวังและเก็บเกี่ยวที่มีความเย็นก่อนถึงตลาดผู้ บริโภค มีปริมาณน้อยมากที่จะบรรจุลงในกระป๋องหรือทำการแปรรูปส่วนใหญ่ แต่การทานผลสดจะให้ประโยชน์มากกว่าในแง่ของสุขภาพ


การแปรรูปมะเดื่อฝรั่งและคุณค่าทางโภชนาการ

การแปรรูปมะเดื่อฝรั่งและคุณค่าทางโภชนาการนั้น ได้ทดลองนำมะเดื่อฝรั่งพันธุ์บราวน์ตุรกีและ พันธุ์ออสเตรเลียมาทดลองอบแห้งในตู้อบผลไม้แบบลมร้อนโดยใช้อุณภูมิในการอบ เฉลี่ย 70-80 องศาเซลเซียสใช้เวลาอบนาน 10-12 ชั่งโมง


ผลปรากฎว่า ได้มะเดื่อฝรั่งอบแห้งที่มีรสชาติอร่อยและมีคุณลักษณะใกล้เคียงกับที่นำเข้า จากต่างประเทศ หลายคนที่ได้รับประทานถามว่าได้ใส่นำผึ้งหรือเพิ่มน้ำตาลไปด้วยหรือไม่ ความจริงแล้วเมื่อผลมะเดื่อฝรั่งแก่จัดเมื่ออบจนแห้งแล้วจะมีส่วนของน้ำที่ มีกลิ่นหอมคล้ายกับน้ำผึ้งที่มีกลิ่นแฉะเล็กน้อยออกมานอกผล


ในเบื้องต้นสรุปได้ว่ามะเดื่อฝรั่งพันบราวน์ตุรกีและพันธุ์ออสเตรเลียนำมาอบ แห้งได้อย่างแน่นอนและทั้ง 2 สายพันธุ์ให้ผลผลิตดกมาก

ทั้งนี้ทางเกษตรกรที่ปลูกจะต้องมีการตัดแต่งกิ่งเป็นประจำทุกปี
  • โดยเฉพาะพันธุ์ออสเตรเลียจะต้องตัดต้นให้สูงจากพื้นดินเฉลี่ย 80 เซนติเมตร – 1 เมตร
  • สำหรับพันธุ์บราวน์ตุรกีให้ตัดแต่งกิ่งแบบต้นน้อยหน่า ควรจะตัดแต่งในช่วงเดือนมิถุนายน เพื่อให้ต้นแตกกิ่งใหม่พร้อมให้ผลผลิตเก็บผลผลิตได้ในช่วงต้นฤดูหนาวเรื่อย มาจนถึงเดือนมีนาคม

โดยสรุป “มะเดื่อฝรั่งอบแห้ง” ถือเป็นความสำเร็จอีกขั้นหนึ่งในการพัฒนาการปลูกมะเดื่อฝรั่งในประเทศไทยในขณะนี้ และสำหรับทิศทางและแนวโน้มของมะเดื่อฝรั่งในอนาคต เนื่องจากมะเดื่อฝรั่งเป็นพืชที่มีความต้องการความหนาวเย็นไม่มากนัก ในการเจริญเติบโตและให้ผลผลิตโดยสามารถปลูกในระดับความสูง 600-800 เมตรจากน้ำทะเลได้ จากผลการทดลองที่เคยศึกษามาแล้วในประเทศไทนรวมทั้งปัจจุบันถูกจัดไว้เป็น ประเภทผลไม้รับประทานได้ทั้งสดและแห้ง เพื่อประโยชน์ต่อสุขภาพของร่างกายมนุษย์ จึงคาดว่าน่าจะเป็นผลไม้ทางเลือกเสริมรายได้อีกชนิดหนึ่งสำหรับการเกษตรบน พื้นที่สูงในอนาคตอันใกล้นี่แน่นอน อย่างไรก็ตามทางมูลนิธิโครงการหลวงก็ยังไม่ได้นำข้อมูลดังกล่าวออกมาส่งเสริม ให้ชาวสวนปลูกเป็นการค้า อันเนื่องมาจากยังต้องการข้อมูลเพิ่มเติมในบางประการ ตลอดจนต้องศึกษาและปรับพฤติกรรมการบริโภคของคนไทยต่อผลไม้ชนิดนี้ให้เกิดการ รับรู้และยอมรับมากยิ่งขึ้น

ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม