การปลูกมะเดื่อฝรั่งในประเทศไทย

“มะเดื่อ ฝรั่ง” หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า “FIG” เป็นผลไม้ที่มีการปลูกเชิงพาณิชย์ อยู่ในหลายประเทศทั่วโลก อาทิ สหรัฐอเมริกา, กรีก, ฝรั่งเศส, ตุรกี , อิตาลี ฯลฯ โดยต้นกำเนิดของมะเดื่อฝรั่งมีถิ่นกำเนิดอยู่ที่ทางเหนือของประเทศ อิรักหรือประเทศตุรกี






สำหรับประเทศไทยได้มีการนำเข้ามะเดื่อแห้งจากต่างประเทศ และได้มีการทดลองปลูกครั้งแรกที่ดอยอ่างขางเมื่อ พ.ศ.2524 โดยมูลนิธิโครงการหลวงและมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพื่อทดแทนการปลูกฝิ่น นอกจากนี้มะเดื่อยังเป็นผลไม้ต่างถิ่นที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลกอีกด้วย


สำหรับการปลูกมะเดื่อฝรั่งในประเทศไทย

  • ในประเทศไทยทางโครงการหลวงได้เคยมี การรวบรวมพันธุ์มะเดื่อฝรั่งมาทดลองปลูกที่ดอยอินทนนท์ จ.ชียงใหม่ โดยในปัจจุบันทางโครงการหลวงได้มี การศึกษา, วิจัยและขยายพื้นที่ปลูกมะเดื่อฝรั่งมากขึ้น และยังเชื่อกัน ว่า”มะเดือฝรั่ง” เป็นผลไม้กึ่งเมืองร้อนหรือภาษาอังฤกษเรียก ว่า “Subtropical” จะปลูกให้ประสบความสำเร็จได้ยากในประเทศไทยซึ่งเป็นเมือง ร้อน หรือถ้าปลูกจำเป็นจะต้องเลือกพื้นที่ที่มีอากาศหนาวเย็นพอสมควรหรือ อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเล เช่น พื้นที่บนดอย เป็นต้น ไม่เหมาะที่จะปลูกใน พื้นที่ราบที่มีอากาศร้อน หรือถ้าปลูกจำเป็นจะต้องเลือกพื้นที่ที่มีอากาศหนาวเย็นพอสมควรหรือ อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเล เช่น พื้นที่บนดอย เป็นต้น ไม่เหมาะที่จะปลูกใน พื้นที่ราบที่มีอากาศร้อน
  • แต่ในปัจจุบันสามารถปลูกมะเดื่อฝรั่งได้ทุกพื้นที่ในประเทศแต่ แต่ต้องเลือกสายพันธุ์ที่ทนต่อสภาพอากาศของประเทศไทยด้วย เช่น พันธุ์ญี่ปุ่น พันธุ์ตุรกี เป็นต้น


กลุ่มใหญ่ๆ ของมะเดื่อฝรั่ง

ในปัจจุบัน“มะเดื่อฝรั่ง” จัดเป็นผลไม้แปลกที่มีราคาแพง มีสายพันธุ์ที่หลากหลายโดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ คือ
  1. พันธุ์กินสด
  2. พันธุ์ทำแห้ง
  3. พันธุ์บรรจุกระป๋อง
ทั้งนี้ในการบริโภคมะเดื่อฝรั่งมีทั้งบริโภคสดและอบแห้ง โดยมะเดื่อผลสดที่ซื้อมารับประทานนั้นมีลักษณะของผลสี เขียวและน้ำตาล ซึ่งมะเดื่อฝรั่งเป็นผลไม้ที่มีคุณค่าทางอาหารสูง และเป็นผลไม้ที่มีธาตุโซเดียมและคลอเรสเตอรอล ดังนั้นในการโฆษนาขายมะเดื่อฝรั่งในตลาดต่างประเทศจึงมักใช้สโลแกนที่เป็น ภาษาอังกฤษที่ว่า “No Sodium No Cholesterol” ซึ่งเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย




การออกดอกการติดผลของมะเดื่อฝรั่ง

  • สำหรับการออกดอกการติดผลของมะเดื่อฝรั่งในแต่ละรุ่น จะเกิดขึ้นมาตามหลังการตัดแต่งกิ่ง ซึ่งภาษาอังฤกษจะใช้ สแกนของการปลูกมะเดื่อฝรั่งว่า “No leaf No fruit” ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยว่า “ไม่มีใบจะไม่มีผล” ในแปลงปลูกมะเดื่อฝรั่งที่ญี่ปุ่นนั้น กิ่งและใบมะเดื่อที่แตกออกมาใหม่นั้นจะติดผลทุกข้อของใบ
  • เป็นที่สังเกตว่าต้นมะเดื่อฝรั่งที่ปลูกอยู่ในโรงเรือนนั้นมีอายุอย่างน้อย ไม่ต่ำกว่า 10 ปี จะมีกิ่งแขนงหลักที่ขนานไปกับพื้นเพียง 2 กิ่งหลักเท่านั้นและกิ่งจะอยู่สูงกว่าพื้นดิน 50 เซนติเมตร โดยประมาณ สำหรับกิ่งย่อยที่แตกออกมาจะมีผลทุกกิ่งจะมีเชือกโยงไว้กับหลังคาโรงเรือน เมื่อเก็บเกี่ยวผลผลิตเสร็จจะทำการตัดแต่งกิ่งทิ้งเพื่อให้แตกกิ่งออกมาใหม่
  • การเจริญเติบโตของต้นมะเดื่อฝรั่ง มีการเจริญเติบโตได้เร็ว โดยอายุต้นประมาณ 1 ปี จะให้ผลผลิตตลอดฤดูไม่น่าจะต่ำกว่า 100 ผล
  • เมื่อผลที่ใกล้แก่และเปลี่ยนสีจากผลที่มีผิวสีเขียวไปเป็นสีน้ำตาลแดงจะใช้ เวลาเพียง 2-3 วัน และขนาดของผลมะเดื่อจะขยายใหญ่กว่าเดิมเท่าตัว ดังนั้นเมื่อผลมะเดื่อเริ่มเปลี่ยนสีจึงได้นำเอาถุงพลาสติกไปห่อ (ตัดขอบก้นถุงออก สอวข้างเพื่อระบายอากาศและน้ำ) ที่ผลหลังจากนั้น 2-3 วัน ก็เก็บผลผลิตมาบริโภคได้


สายพันธุ์มะเดื่อฝรั่ง สำหรับการปลูกในประเทศไทย
สายพันธุ์มะเดื่อฝรั่ง สำหรับการปลูกในประเทศไทย มีมากกว่า5สายพันธุ์ที่ให้ผลผลิตเร็ว,ดกและมีรสชาติที่ดีได้ คือ
  1. พันธุ์ญี่ปุ่น,
  2. พันธุ์บราวน์ตุรกี,
  3. พันธุ์ออสเตรเลีย,
  4. พันธุ์ดอร์ฟิน และ
  5. พันธุ์แบล็คมิชชั่น เป็นต้น
โดยแต่ละสายพันธุ์มีรสชาติอร่อยทั้งสิ้นและได้ขยายพื้นที่ปลูกเชิงพาณิชย์ ให้ผลผลิตเริ่มส่งขายตลาดได้แล้วรวมทั้งสายพันธุ์สามารถนำมาอบแห้งได้ผล มะเดื่ออบแห้งที่มีคุณภาพดีไม่แพ้มะเดื่อแห้งอบจากต่างประเทศ



ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม